ผู้จัดทำ

นางสาวเกศศิรินทร์ จันทราช เลขที่ 5 ปวช.2/1 แผนก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ



RSS

หลักการรักษาสิว

                                 หลักการรักษาสิว

การรักษาสิวจะต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว และจะต้องแยกชนิดของสิว ระดับความรุนแรงของสิว และการใช้ยาอย่างถูกต้อง
  • หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้หน้าชื้นเช่น sauna การทำงานในครัว
  • งดใช้เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิว เครื่องสำอางที่เพิ่มความมัน หรือเลือกเครื่องสำอางที่ถูกกับผิวหน้า
  • งายาหรือครีมทาก่อนนอน
  • ห้ามบีบหรือแกะสิวโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้สิวลุกลาม
  • อาหารสามารถรับประทานได้แต่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มัน และหวานและก็อย่ารับมากจนอ้วน
  • ห้ามถูหน้าแรงๆในขณะล้างหน้า ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและใช้ผ้าซับเบาๆ
  • คนที่หน้ามันให้ล้างหน้าด้วยสบู่อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง
  • การเลือกยาทาสิวขึ้นกับชนิดของสิวซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์
  • การเลือกรับประทานยาขึ้นกับแพทย์ที่ดูแล
  • หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด

การรักษาสิวแบบอ่อน

สิวที่เป็นไม่มากมักจะรักษาด้วยยาทาเพียงอย่างเดียวและมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
  • ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยสบู่อ่อนด้วยน้ำ
  • ทายาสิวใหทั่วบริเวณที่เป็นสิส
  • ให้ทายาบางๆก่อนนอน และทาในตอนเช้า
  • ในช่วง2-4 สัปดาห์แรกอาจจะทำให้หน้าจะแห้ง
  • ทาครีมบำรุงผิวหรือครีมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง เลือกชนิดที่ไม่มีไขมั
  • หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมัน ยากันแสง
  • ใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะเห็นผล
  • หากเกิดอาการระคายเคืองให้ปรึกษาแพทย์
ยาทาสิวที่สามารถเลือกหาซื้อเพื่อทาสิว
  • น้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับล้างหน้า
  • นาทาที่มีส่วนผสมของกรด  salicylic acid อย่างอ่อน
  • ยาทาที่มีตัวยา Benzoyl peroxide ซึ่งมีทั้งชนิด cream / lotion / gel
  • ยาทาที่มีส่วนผสมของ Azelaic acid (Skinoren™ cream, Acnederm™ medicated lotion)
ยาทาที่แพทย์มักจะจ่าย
  • ยาทาปฏิชีวนะที่มีส่วนผสมของ clindamycin solution หรือ  erythromycin solutionซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับ benzoyl peroxideหรือ azelaic acidจะป้องกันเชื้อดื้อยา
  • อนุพันธ์ของวิตามินเอ Retinoids

การรักษาโรคสิวที่มีระดับความรุนแรงปานกลาง

การรักาาพื้นฐานจะเหมือนการรักาาสิวที่มีระดับความรุนแรงอย่างอ่อน แต่จะเพิ่มยารับประทานอย่างน้อย 6 เดือน
  • ยาปฏิชีวนะที่ให้บ่อยได้แก่  tetracycline, minocycline, doxycycline หรือ erythromycin
  • สำหรับสุภาพสตรีจะให้ oestrogensและ antiandrogensเช่น Diane หรือ spironolactone
  • สำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบอาจจะให้ nonsteroidal anti-inflammatory agentsเช่น ibuprofen or naproxen
  • สำหรับสิวที่รักษายากให้ใชอนุพันธ์ของวิตามินเอ  isotretinoin 

การรักษาผู้ที่เป็นสิวที่มีระดับรุนแรง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้อนุพันธ์ของวิตามินเอ  isotretinoin. ร่วมกับ ยาปฏิชีวนะในระดับสูงเป็นเวลา 6 เดือน
ยารักษาสิว
การรักษาสิวทางกายภาพ
  • การกดสิว ใช้รักษาสิวทั้งชนิดหัวดำและหัวขาว แต่ในกรณ๊รูเปิดเล็กมา อาจจะต้องใช้เข็มหรือเลเซอร์เพื่อให้รูเปิดใหญ่ขึ้น การกดต้องทำให้ถูกวิธีเพราะหากกดผิดจะทำให้สิวถูกดันลึกลง
  • การฉีด steroid เข้าใต้หัวสิว ข้อดีทำให้การอักเสบลดลงเร็ว แต่ถ้าฉีดมากไปหรือลึกเกินไปจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดรอยบุ๋ม
  • การใช้ความเย็น ใช้ใไนโตรเจนเหลว นกรณ๊ที่สิวเป็นชนิดถุง
อ้างอิง http://siamhealth.net/public_html/Health/Photo_teaching/acne_treatment.html

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อาหารที่บำรุงสมอง

20 อาหาร เพื่อสมองสดใส (Lisa)

          เมื่อเร็ว ๆ นี้เห็นมีข่าวเด็กไทย IQ ต่ำ เพราะว่าขาดไอโอดีน แต่รู้มั้ยว่านอกจากนั้นแล้ว สมองของเรายังต้องการสารอาหารอีกมากมาย เพื่อให้เฉียบแหลมอยู่เสมอ

1.บลูเบอร์รี่

          ลูกเบอร์รี่ต่าง ๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมาก ๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห่งเท่านั้นล่ะค่ะ

2.แซลมอนธรรมชาติ

          กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงนะคะ

3.ทับทิม

          คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกันนะคะ

กาแฟ

4.กาแฟ

          เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ

5.ถั่ว

          ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง  แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

6.ทูน่า

          นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน


ข้าวกล้อง


7.ข้าวกล้อง

          ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น

8.ชาเขียว

          ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

9.เมล็ดพืช

          ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

10.ข้าวโอ๊ต

          ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย

11.หอยนางรม

          ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย

ผัก


12.ผักใบเขียว

          ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะชอบผักใบเขียวชนิดไหน ควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียว อุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็ก ก็อาจมีโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข (Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่น ๆ

13.มะเขือเทศ

          แม้ใคร ๆ จะรู้กันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวสวย แต่มะเขือเทศเองก็จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดีเหมือนกัน เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนได้เต็มที่ อย่างนี้ก็หมายความว่าซอสมะเขือเทศ ก็มีประโยชน์น่ะสิ? จริง แต่ว่าซอสมะเขือเทศก็มากับน้ำตาล เช่นกัน หากเป็นไปได้ก็ทำอาหารเองจะดีกว่านะ

14.น้ำมันมะกอก

          อย่าลืมว่าร้อยละ 60 ของสมองคือไขมัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองข้ามไขมันไปได้ การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมาก ๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปขนมกรุบกรอบ หรือแม้แต่น้ำราดสลัดส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันอื่น ๆ ที่มีไขมันโอเมก้า-6 ตรงนี้ต้องคอยสังเกตไว้ ถึงจะชื่อว่าโอเมก้า-6 แต่ก็ไม่ใช่ไขมันที่ดี

15.น้ำสะอาด

          เพื่อสมองที่แจ่มใส จะขาดน้ำเปล่าไปไม่ได้ อย่าลืมหาโอกาสจิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน (และสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย) การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลัง และทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ ทำให้สมองของคุณไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ของพวกนี้มีทั้งน้ำตาล และกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้เลยทีเดียว

16.ผงกะหรี่

          เครื่องปรุงนี้เป็นหนทางที่ดีในการเพิ่มรสชาติ ให้แก่สมอง ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมองแล้วล่ะ


ไข่


17.ไข่

          มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

18.โยเกิร์ต

          เป็นอาหารว่างที่ง่ายและมีประโยชน์ด้วยโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมาก ต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ แต่ก็ต้องดูว่าโยเกิร์ตนั้น ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ลองกินคู่กับธัญพืชต่าง ๆ เพื่อเป็นของว่างเมื่อไหร่ก็ได้ที่หิว

19.ช็อกโกแลต

          ไม่ว่ารสชาติหรือประโยชน์ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมอง มีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ เพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก (ยังจำกันได้มั้ย ใยอาหาร = หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง = สมองแข็งแรง)


กระเทียม

20.กระเทียม

          ถ้าไม่สงสารคนนอนข้าง ๆ ก็กินกระเทียมสด ๆ เลย เห็นเล็ก ๆ อย่างนี้ กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่มันจะมีชื่อเสียงในเรื่องการลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย

อ้างอิง http://health.kapook.com/view18712.html

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แนวทางการเลือกกินอาหารสำหรับออกกำลังกาย

  แนวทางการเลือกกินอาหารสำหรับออกกำลังกาย
    ก่อนออกกำลังกาย        • ควรกินอาหารก่อนมาออกกำลังกาย 2 ถึง 4 ชั่วโมง
        • เลือกกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ไขมันต่ำ โปรตีนต่ำ เพราะคาร์โบไฮเดรตสามารถย่อยและนำมาใช้เป็นพลังงานได้เร็วที่สุด ในขณะที่โปรตีนและไขมันอาจจะยังคงย่อยอยู่ที่กระเพาะอาหาร ถ้ากินโปรตีนและไขมันมามากๆ ก็อาจจะทำให้รู้สึกเหนื่อย คลื่นไส้ ในระหว่างที่ออกกำลังกายได้
        • ควรกินอาหารให้ได้รับพลังงานประมาณ 400 – 800 กิโลแคลอรี ซึ่งเท่ากับการกินอาหารมื้อหลัก 1 มื้อ เพื่อที่จะเป็นพลังงานเพียงพอสำหรับออกกำลังกาย ทำให้ออกกำลังกายได้เต็มที่ ไม่เหนื่อยเกินไป
        • ดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 10 ออนซ์ หรือ 300 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกาย 2 ชั่วโมง จะช่วยชดเชยการสูญเสียเหงื่อระหว่างออกกำลังกาย

         ตัวอย่างอาหารที่ควรกินก่อนมาออกกำลังกาย 2 ชั่วโมง        • น้ำผักหรือผลไม้ 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) กับ ผลไม้แห้ง ½ ถ้วยตวง
        • ขนมปังโฮลวีตทาแยมผลไม้ 3 ช้อนชา 1 แผ่น
        • ซีเรียลที่ผสมธัญพืชกับลูกเกด 1 ช้อนโต๊ะ กับนมหรือน้ำผลไม้ 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร)
        • สมูทตี้ต่างๆที่มีกล้วยหอมเป็นส่วนผสม

        ถ้าหากได้กินอาหารจานหลักปริมาณมากๆก่อนมาออกกำลังกาย 4 ชั่วโมงแล้ว ยังรู้สึกอิ่มอยู่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกินเพิ่มอีกก็ได้ แต่ถ้ายังรู้สึกหิวเล็กน้อยก่อนมาออกกำลังกายให้เลือกกินอาหารตามที่แนะนำนี้ได้ อาหารที่แนะนำนี้ให้พลังงานประมาณ 200-300 กิโลแคลอรี ซึ่งเพียงพอกับการออกกำลังกายประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง

    ระหว่างออกกำลังกาย         ควรดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 5-12 ออนซ์ (150-350 มิลลิลิตร) ทุกๆ 15-20 นาที ถ้าออกกำลังกายมากกว่า 1 ชั่วโมง ให้ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมเกลือแร่สำหรับนักกีฬา เพื่อช่วยชดเชยการสูญเสียโซเดียม

    หลังออกกำลังกาย        • ดื่มน้ำให้ได้ 2 แก้ว (500 มิลลิลิตร) เพื่อชดเชยการสูญเสียเหงื่อ และรักษาสมดุลของสารต่างๆในร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ออกกำลังกาย
        • กินอาหารว่างที่ให้พลังงาน 100-400 กิโลแคลอรี ซึ่งประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ระหว่าง 1 ชั่วโมงแรก หลังจากออกกำลังกาย
        • ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เพราะจะทำให้ปัสสาวะออกมามาก จนสูญเสียน้ำมากเกินไปได้

          ตัวอย่างอาหารที่ควรกินหลังจากออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง        - นมรสต่างๆ 1 แก้ว เลือกชนิดที่มีไขมันต่ำ ( 100-150 กิโลแคลอรี)
        - โยเกิร์ตรสต่างๆ 1 ถ้วย อาจจะทานร่วมกับผลไม้สดเป็นสลัดผลไม้ หรือปั่นผสมเป็นสมูทตี้แบบต่างๆ หรือทานร่วมกับซีเรียลก็ได้ ( 100-300 กิโลแคลอรี)
        - แซนวิซ หรือแฮมเบอร์เกอร์ 1 คู่ ( 200-400 กิโลแคลอรี)
        - อาหารมื้อหลักที่มีไขมันต่ำ เช่น ข้าว+ต้มยำ+ไข่ตุ๋น, ข้าวเหนียว+ส้มตำ+ไก่ย่าง เป็นต้น (300-400 กิโลแคลอรี)

อ้างอิง http://women.thaiza.com/%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/209615/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สารอาหารที่จำเป็นต้องได้รับให้เพียงพอกับการออกกำลังกาย

    สารอาหารที่จำเป็นต้องได้รับให้เพียงพอกับการออกกำลังกาย

      1. คาร์โบไฮเดรต
เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ได้รับจาก ข้าว แป้ง น้ำตาล ผัก ผลไม้ จำเป็นต้องได้รับให้เพียงพอกับการออกกำลังกาย โดยควรทานในปริมาณน้อยๆแต่บ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายดึงพลังงานไปใช้ได้เพียงพอ ไม่เหลือเก็บสะสมไว้ ควรทานคาร์โบไฮเดรตที่เป็นธรรมชาติ ไม่ผ่านการขัดสี
      2. โปรตีน เป็นสารอาหารที่ช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรได้รับมากสุดไม่เกิน วันละ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แหล่งของโปรตีนที่ดีได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิด โดยเฉพาะเนื้อปลาแนะนำให้ทานมากที่สุด ไข่ และ นม
      3. ไขมัน เมื่อมีการออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจากไขมันและคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะพยายามใช้พลังงานจากโปรตีนน้อยที่สุด ควรได้รับประมาณร้อยละ 25-30 ของพลังงานที่ควรได้รับ/วัน ควรเลือกทานพวกไขมันดี โดยเฉพาะไขมันจากปลา ไม่ควรทานของทอดของมันมากจนเกินไปในขณะออกกำลังกาย
      4. วิตามินและเกลือแร่ สำหรบนักกีฬา ความต้องการวิตามินและเกลิอแร่ต่าง ๆ ไม่ได้เพิ่มกว่าคนปกติ ถ้ามีการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และสัดส่วนพอเหมาะ ก็จะได้รับวิตามินเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ไม่จำเป็นต้องมีการเสริมวิตามิน แต่ในบางคนอาจเกิดปัญหาการขาดธาตุเหล็กได้ แต่มักจะเป็นชั่วคราว ดังนั้นจึงควรมีการบริโภคอาหารที่มีเหล็กสูง เช่น ตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง (ควรจำกัดปริมาณเพราะมีโคเลสเตอรอลสู ) และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมเหล็ก ควรรับประทานผักสด และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงด้วย
      5. น้ำ น้ำมีความสำคัญมาก ช่วยระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ความต้องการน้ำโดยปกติ 6 - 8 แก้ว ต่อวัน หรือประมาณ 30 มิลลิลิตร / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในกรณีที่สูญเสียน้ำมาก ๆ เช่น การเสียเหงื่อในการทำงานกลางแดด หรือการเล่นกีฬา ต้องได้รับน้ำทดแทนให้เพียงพอ น้ำที่ดีที่สุดคือ น้ำเปล่า ควรจิบน้ำอยู่เสมอในระหว่างที่ออกกำลังกาย เพื่อชดเชยการสูญเสียเหงื่อ
อ้างอิง http://women.thaiza.com/%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/209615/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ยาเสพติด

                                    ยาเสพติด

๑. ประเภทของยาเสพติด
          จำแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แบ่งเป็น ๔ ประเภท
          ๑. ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น  มอร์ฟีน  เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาทเครื่องดื่มมึนเมา
ทุกชนิด รวมทั้ง สารระเหย เช่น ทินเนอร์ แล็กเกอร์ น้ำมันเบนซิน กาว เป็นต้น มักพบว่าผู้เสพติดมี ร่างกายซูบซีด ผอมเหลือง
อ่อนเพลีย ฟุ้งซ่าน อารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย
          ๒. ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ ยาบ้า  ยาอี กระท่อม  โคเคน มักพบว่าผู้เสพติดจะมีอาการ หงุดหงิด กระวนกระวาย จิตสับสนหวาดระแวง บางครั้งมีอาการคลุ้มคลั่ง หรือทำในสิ่งที่คนปกติ ไม่กล้าทำ เช่น ทำร้ายตนเอง หรือฆ่าผู้อื่น เป็นต้น
          ๓. ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี และ เห็ดขี้ควาย เป็นต้น ผู้เสพติดจะมีอาการประสาทหลอน ฝันเฟื่องเห็นแสงสีวิจิตรพิสดาร หูแว่ว ได้ยินเสียง ประหลาดหรือเห็นภาพหลอนที่น่าเกลียดน่ากลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ ในที่สุดมักป่วยเป็น
โรคจิต
          ๔. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน คือทั้งกระตุ้นกดและหลอนประสาทร่วมกันได้แก่ ผู้เสพติดมักมี อาการหวาดระแวง ความคิดสับสนเห็นภาพลวงตา หูแว่ว ควบคุมตนเองไม่ได้และป่วยเป็นโรคจิตได้
 
๒. แบ่งตามแหล่งที่มา
          แบ่งตามแหล่งที่เกิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
          ๑. ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตมาจากพืช เช่น ฝิ่น  มอร์ฟีน  กระท่อม  กัญชา เป็นต้น
          ๒. ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทางเคมี เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน  ยาอี  เอ็คตาซี เป็นต้น
 
๓. แบ่งตามกฎหมาย
          แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คือ
          ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑  ได้แก่ เฮโรอีน  แอลเอสดี  แอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า  ยาอี หรือ ยาเลิฟ
          ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่ต้องใช้ภายใต้
การควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน โคเคน หรือ โคคาอีน โคเคอีน และเมทาโดน
          ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๓  ยาเสพติดประเภทนี้  เป็นยาเสพติดให้โทษที่มียาเสพติดประเภทที่ ๒ ผสมอยู่ด้วย
มีประโยชน์ทางการแพทย์ การนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น หรือเพื่อเสพติด จะมีบทลงโทษกำกับไว้ ยาเสพติดประเภทนี้ ได้แก่
ยาแก้ไอ ที่มีตัวยาโคเคอีน ยาแก้ท้องเสีย ที่มีฝิ่นผสมอยู่ด้วย ยาฉีดระงับปวดต่าง ๆ เช่น มอร์ฟีน เพทิดีน ซึ่งสกัดมาจากฝิ่น
          ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๔ คือสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑ หรือประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในการบำบัดโรคแต่อย่างใด และมีบทลงโทษกำกับไว้ด้วย ได้แก่น้ำยาอะเซติคแอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซึ่งใช้ในการเปลี่ยน มอร์ฟีน เป็น เฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีน สามารถใช้ในการผลิต ยาบ้า ได้ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก ๑๒ ชนิด ที่สามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้
          ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๕ เป็นยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าข่ายอยู่ในยาเสพติดประเภทที่ ๑ ถึง ๔ ได้แก่ ทุกส่วนของพืช กัญชา ทุกส่วนของพืช กระท่อม เห็ดขี้ควาย เป็นต้น

 

อ้างอิง http://www.chetupon.ac.th/Yasebtid/Pages/KindDrug1.html


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วันวาเลนไทม์


วันวาเลนไทม์



กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและ
อยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จัก
ก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ

เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”
.
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรัก
ที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อ
แสดงถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการ
แสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การ Download คลิปวีดีโอ จาก Youtube และ Myspace

 การ Download คลิปวีดีโอ จาก Youtube และ Myspace
วิธีใช้โปรแกรมมีดังนี้
1. หลังจากติดตั้งโปรแกรมเสร็จ ให้เปิดโปรแกรมขึ้นมา โดยก่อนเปิดโปรแกรมให้คุณเปิด IE (Internet Explorer) ขึ้นมาก่อนนะครับ โปรแกรม  YouRipper จะอยุ่ด้านบนสุด ดังรูปด้านล่าง



2. ให้เปิดเว็บไซต์  YouTube หรือ  MySpace   ขึ้นมาแล้วเปิดคลิปวีดีโอที่ต้องการดาวน์โหลด สังเกตุฝั่งซ้ายมือ จะมี  URL อยู่


3. ให้ ก๊อปปี้ URL นี้ไปใส่ที่โปรแกรม YouRipper  แล้วคลิกที่ลูกศรสีเขียว


4. ให้ตั้งชื่อไฟล์ และคลิกที่ Save
เพียงเท่านี้คุณก็สามารถดาวน์โหลด คลิปวีดีโอ จาก  YouTube หรือ  MySpace   ได้แล้ว ไฟล์ที่ได้จะมีนามสกุล .flv การจะเปิดดูต้องทำการแปลงก่อนนะครับไม่สามารถเปิดดูได้ทันที 

อ้างอิง http://www.bcoms.net/software/yourippe.asp


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS